สำนักกฎหมายทนายชนะ ทนายหาดใหญ่ ทนายสงขลา บริการว่าความ ฟ้อง แก้ต่างคดีแพ่งคดีอาญา และคดียาเสพติดทั่วราชอาณาจักร โดยทนายชนะ ชนะพล โทร 080 549 3774
คดีแดงที่ 3042/2543
พนักงานอัยการจังหวัดลพบุรี โจทก์
นางลำเภย ศรีสม จำเลย
ป.วิ.อ. มาตรา ๒๒๗
บทบัญญัติตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒๒๗ มีความหมายว่า ในการพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทั้งปวง ศาลมีอำนาจใช้ ดุลพินิจวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานใดมีน้ำหนักน่าเชื่อถือเพียงใดหรือไม่ พยานหลักฐานใดขัดต่อเหตุผลไม่น่ารับฟัง และในกรณีที่ศาลจะพิพากษาลงโทษบุคคลใด พยานหลักฐานในคดีนั้นต้องมั่นคงแน่นหนา และมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิดจริงตามฟ้อง หากพยานหลักฐานในสำนวนมีข้อพิรุธน่าระแวงสงสัย ไม่มั่นคงพอที่จะรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย โดยพิพากษายกฟ้องโจทก์ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าหากพยานหลักฐานของโจทก์มีข้อแตกต่างขัดแย้งกันเอง หรือมีข้อน่าสงสัยบางประการแล้ว ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องของโจทก์เสียทุกกรณีไป ข้อพิรุธน่าระแวงสงสัยอันจะเป็นเหตุให้ยกฟ้องโจทก์นั้นต้องเป็นข้อบกพร่องของพยานหลักฐานโจทก์ที่ทำให้น้ำหนักคำพยานเลื่อนลอยไม่มั่นคงพอ ที่จะรับฟังเป็นความจริงได้โดยสนิทใจ ส่วนข้อแตกต่างขัดแย้งกันในกรณีอื่นที่ไม่มีผลต่อการรับฟังข้อเท็จจริงตาม คำพยานหาเป็นข้อพิรุธอันจะเป็นเหตุให้ยกฟ้องโจทก์ไม่ ข้อแตกต่างผิดเพี้ยนกันในรายละเอียดปลีกย่อยอันเป็น พลความหรือข้อพิรุธที่ไม่เกี่ยวกับการรับฟังข้อเท็จจริงที่มุ่งจะพิสูจน์ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ย่อมไม่เป็นเหตุทำลายน้ำหนักพยานหลักฐานของโจทก์
…………………..……………………………………………………………..
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๔, ๕, ๖, ๑๑, ๑๓ ทวิ, ๖๒, ๘๙, ๑๐๖ และ นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๒๖๘๖/๒๕๓๙ ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นเหตุบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๓ ทวิ วรรคหนึ่ง, ๘๙ ลงโทษจำคุก ๕ ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุก ๓ ปี ๔ เดือน คำขอให้นับโทษต่อให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขาย และขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่สายลับตามฟ้องจริงหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๒๗ บัญญัติว่า
"ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงอย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น
เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย"
บทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นมีความหมายว่า ในการพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทั้งปวง ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานใดมีน้ำหนักน่าเชื่อถือเพียงใดหรือไม่ พยานหลักฐานใดขัดต่อเหตุผลไม่น่ารับฟัง และในกรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษบุคคลใด พยานหลักฐานในคดีนั้นต้องมั่นคงแน่นหนา และมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจาก ข้อสงสัยว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิดจริงตามฟ้อง หากพยานหลักฐานในสำนวนนี้มีข้อพิรุธน่าระแวงสงสัยไม่มั่นคงพอที่จะรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย โดยพิพากษา ยกฟ้องโจทก์ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าหากพยานหลักฐานของโจทก์มีข้อแตกต่างขัดแย้งกันเอง หรือมีข้อน่าสงสัย บางประการแล้ว ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียทุกกรณีไป ข้อพิรุธน่าระแวงสงสัยอันจะเป็นเหตุให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ต้องเป็นข้อบกพร่องของพยานหลักฐานโจทก์ที่ทำให้น้ำหนักคำพยานเลื่อนลอยไม่มั่นคงพอที่จะรับฟัง เป็นความจริงได้โดยสนิทใจ ส่วนข้อแตกต่างขัดแย้งกันในกรณีอื่นที่ไม่มีผลต่อการรับฟังข้อเท็จจริงตามคำพยาน หาเป็นข้อพิรุธอันจะเป็นเหตุให้ยกฟ้องโจทก์ไม่ เป็นต้นว่า ข้อแตกต่างผิดเพี้ยนกันในรายละเอียดปลีกย่อยอันเป็นพลความหรือข้อพิรุธที่ไม่เกี่ยวกับการรับฟังข้อเท็จจริงที่มุ่งจะพิสูจน์ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ย่อมไม่เป็นเหตุทำลายน้ำหนักพยานหลักฐานของโจทก์ สำหรับคดีนี้โจทก์มีพยานสำคัญคือนายบำรุง สุขสิงห์ กับนายสุรศักดิ์ วิศิษฐ์สรศักดิ์ เจ้าพนักงานสังกัดสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเป็นผู้จับกุมจำเลยเป็นพยานเบิกความตรงกันว่า ในวันเกิดเหตุพยานกับพวกร่วมกันวางแผนจับกุมจำเลยโดยใช้ให้สายลับไปล่อซื้อยาเสพติดให้โทษ จากจำเลย ได้นัดหมายและซักซ้อมกันให้นายสุรศักดิ์ร่วมทางไปกับสายลับ ส่วนนายปรุงคอยอยู่ที่รถยนต์ซึ่งจอดรถอยู่ห่างจากบ้านของจำเลยประมาณ ๒๐๐ เมตร สำหรับเหตุการณ์ต่อจากนั้นนายสุรศักดิ์เบิกความยืนยันว่า เห็นจำเลย ขายเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่สายลับในราคา ๑๔๐ บาท หลังจากนั้นสายลับกับนายสุรศักดิ์กลับไปหานายปรุง สายลับมอบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่นายปรุงแล้วแยกทางกลับไป พยานโจทก์ทั้งสองเข้าตรวจค้นตัวจำเลย ก็พบธนบัตรของกลางที่สายลับนำไปซื้อยาเสพติดให้โทษอยู่ที่จำเลยสมจริง ทั้งจำเลยยอมรับสารภาพต่อพยานโจทก์ทั้งสองว่า ได้เงินของกลางมาจากการขายเมทแอมเฟตามีน จำเลยยังได้เขียนคำรับสารภาพของตนเองไว้ด้วย ตามบันทึกการจับกุมและบันทึกคำรับสารภาพเอกสารหมาย ป.จ. ๔ และ ป.จ. ๕ (ศาลอาญา) ทนายจำเลยมิได้ตามประเด็นไปถามค้านพยานโจทก์เหล่านี้เพื่อซักฟอกพยานและพิสูจน์ความจริงตามกระบวนความ คำเบิกความของ นายปรุงกับนายสุรศักดิ์ จึงไม่ปรากฏข้อพิรุธอันจะเป็นเหตุให้ทำลายน้ำหนักคำเบิกความของบุคคลทั้งสองแต่ประการใด ที่จำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความว่า ก่อนจับกุมจำเลยพยานได้ขออนุมัติต่อนายราชันย์ วรรศิริ ซึ่งเป็น ผู้บังคับบัญชาเพื่อใช้เงินของกลางล่อซื้อยาเสพติดให้โทษจากจำเลยและได้รับอนุมัติในวันเดียวกัน แต่ลายมือชื่อของนายราชันย์ในช่องผู้อนุมัติในเอกสารหมาย ป.จ. ๑ (ศาลอาญา) แตกต่างไปจากลายมือชื่อที่นายราชันย์เซ็นในบันทึก คำให้การพยาน นอกจากนี้วันเดือนปีใต้ลายมือชื่อผู้อนุมัติในเอกสารหมาย ป.จ. ๑ (ศาลอาญา) ก็เป็นคนละปีกับวันเกิดเหตุ ทำให้น่าสงสัยว่านายปรุงน่าจะมิได้ขออนุมัตินายราชันย์ก่อนดำเนินการจับกุมจำเลยนั้น เห็นว่านายปรุงจะได้ทำการ ล่อซื้อยาเสพติดให้โทษจากจำเลยโดยพลการ หรือได้รับความเห็นชอบจากนายราชันย์ก่อนก็ไม่มีผลทำให้น้ำหนัก คำเบิกความของนายปรุงกับนายสุรศักดิ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยเปลี่ยนแปลงไป
ที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า หากจำเลยเป็นผู้ขายยาเสพติดให้โทษจริง จำเลยย่อมจะต้องระมัดระวังตัวไม่ขาย ยาเสพติดให้โทษแก่สายลับต่อหน้านายสุรศักดิ์ซึ่งเป็นคนแปลกหน้านั้น เห็นว่า ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษแต่ละรายย่อมมีนิสัยและความประพฤติตลอดจนความระมัดระวังตนแตกต่างกันไป จะถือเป็นหลักเกณฑ์ตายตัวว่า ผู้กระทำความผิดประเภทนี้ย่อมไม่ขายยาเสพติดให้โทษแก่คนแปลกหน้าไม่ได้ เหตุผลที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกาไม่อาจหักล้างคำเบิกความของพยานโจทก์ได้ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง พยานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้าง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขาย และขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน .
(กำพล ภู่สุดแสวง - วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ - สุรชาติ บุญศิริพันธ์ )
ศาลจังหวัดลพบุรี - นายสรารักษ์ สุวรรณเสรี
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 - นายวิกร อังคณาวิศัลย์